ทัวร์ไครเมีย 9 วัน
ทัวร์
ยุโรป
ระยะเวลา
9 วัน 7 คืน
สายการบิน
วันเดินทาง
3-11 มี.ค. 2563
Hilight

แหลมไครเมีย ประเทศรัสเซียแหล่งสถาปัตยกรรมปราสาทของราชวงศ์รัสเซีย

สัมผัสความบริสุทธิ์ของธรรมชาติและทะเลดำที่รอคุณไปเยือน

กรุงมอสโคว์ - ซิมเฟอโรโพล - บัคชีซาราย - อารามอัสสัมชัญ - พระราชวังข่าน - เซวาสโตโพล - เมืองโบราณเคอร์โซนีซุส - มหาวิหารเซนต์วลาดิเมียร์ - บัลลักลาวา - พิพิธภัณฑ์ใต้ดินทหารเรือบัลลักลาวา - พระราชวังโวรอนซอฟ - สวอนโลว์เนสท์ - ยัลต้า - พระราชวังลิวาเดีย - โรงผลิตไวน์มาสซานดร้า - พระราชวังมาสแซนดร้า - ถ้ำหินอ่อน - จัตุรัสเลนิน - พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ชาวไซเธียน - โบสถ์อเล็กซานเดอร์เนฟสกี้ - ผาหินขาว - ป้อมปราการเจนัว - ทะเลสาบเกลือโกเยสโกยา - เคิร์ช - เม้าท์มิทริแดต - เพนติคาเปอุม - เหมืองหินแอดซิมุสกี้ - สะพานไครเมีย - ครัสโนดา - แกยิสกี้พาร์ค

แผนการท่องเที่ยว
  • Day 1
    1) วันแรก กรุงเทพฯ - กรุงมอสโคว์ ประเทศรัสเซีย
    • 19.00 น. พร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ชั้น 4 ประตู 7 เคาน์เตอร์ N โดยสายการบิน AEROFLOT โดยมีเจ้าหน้าที่บริษัทคอยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกในการเช็คอินด้านสัมภาระและเอกสารให้กับท่าน
      22.15 น. เหินฟ้าสู่ กรุงมอสโคว์ ประเทศรัสเซีย โดยเที่ยวบิน SU6276 (2215-0430) (ใช้เวลาบิน 10 ชั่วโมง 15 นาที)
  • Day 2
    2) วันที่สอง กรุงมอสโคว์ - ซิมเฟอโรโพล (ไครเมีย) - บัคชีซาราย - พระราชวังข่าน - เซวาสโตโพล (B/L/D)
    • 04.30 น. เดินทางถึงสนามบินนานาชาติเชเรเมเตียโว Terminal D - International  หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว แล้วเดินเท้าไปยัง Terminal B - Domestic  รอเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทาง เมืองซิมเฟอโรโพล 
      07.30 น. เหินฟ้าสู่ เมืองซิมเฟอโรโพล  ประเทศรัสเซีย โดยเที่ยวบิน SU1636 (0730-1020) (ใช้เวลาบิน 3 ชั่วโมง 50 นาที)
      10.20 น. เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติซิมเฟอโรโพล สาธารณรัฐไครเมีย หลังจากรับกระเป๋าสัมภาระเรียบร้อยแล้ว เชิญพบกับไกด์ท้องถิ่น 
      ซิมเฟอโรโพล (Simferopol) คือ เมืองหลวงของสาธารณรัฐไครเมีย(Crimea) เป็นเมืองหลวงที่มีความสำคัญด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจและศูนย์กลางการคมนาคมในบริเวณคาบสมุทรไครเมีย 
      ** ซิมเฟอโรโพล - บัคซีซาราย ระยะทางราว 50 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมง **
      ออกเดินทางสู่ บัคชีซาราย (Bakhchisarai) ชื่อเมืองนี้เป็นภาษาตาตาร์ไครเมียน หนึ่งในภาษาตระกูลเติร์กซึ่งมีความหมายว่า “เมืองหรือป้อมแห่งสวนดอกไม้” ปัจจุบันเป็นเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งที่มีประชากรอาศัยราว 28,000 คน แต่มีความสำคัญเพราะอดีตคือราชธานีของอาณาจักรข่านไครเมียในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14-18 
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย นำท่านชม พระราชวังข่านบัคชีซาราย (Bakhchisarai Khan Palace) หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า Hansaray ตัวพระราชวังมีกำแพงล้อมรอบราวกับป้อมปราการ ซึ่งสร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ประกอบไปด้วยตำหนัก ฮาเร็ม สระน้ำสรง สุเหร่าหลวงใหญ่น้อย สุสานหลวง และสวนดอกไม้ โดยสร้างขึ้นในรูปแบบสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างออตโตมัน เปอร์เซียนและ อิตาเลียนอย่างลงตัวสวยงาม พระราช วังนี้เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งบัคชีซาราย ทั้งยังเป็นพระราชวัง สไตล์มุสลิม 1ใน 3 แห่งที่คงหลงเหลืออยู่ในทวีปยุโรป นอกเหนือ จากนี้คือพระราชวังทอปกาปีในอิสตันบลู (ตุรกี) และพระราชวังอัลฮัมบราในการ์นาดา (สเปน)  
      เดินทางต่อไปชม อารามอัสสัมชัญ (Assumption Monastery of the Caves) เป็นอารามถ้ำที่เจาะเข้าไปในหน้าผาและสร้างขึ้นครั้งแรกในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 8 จากคำยืนยันจากนักบวช แต่สภาพปัจจุบันของอารามดังกล่าว คืออารามเก่าที่ได้รับการบูรณะและสร้างใหม่ขึ้นอีกครั้งในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 ต่อมาในปีค.ศ.1921 ยุคสหภาพโซเวียตปกครองอารามแห่งนี้ได้ถูกปิดตัวลง จนกระทั่งในปีค.ศ.1993 จึงเปิดให้ผู้คนและนักท่องเที่ยวได้เข้าชมเพื่อกราบสักการะได้ตามปกติ พร้อมทั้งสามารถถ่ายรูปและชมวิวทิวทัศน์โดยรอบ 
        ได้เวลาพอสมควร เดินทางต่อสู่ เซวาสโตโพล (Sevastopol)
      เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและเป็นเมืองท่าสำคัญที่สุดในคาบสมุทรไครเมีย เพราะเป็นสถานที่ตั้งของกองเรือในเขตทะเลดำ
      ** อารามอัสสัมชัญ - เซวาสโตโพล  ระยะทางราว 65 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมง 30 นาที**
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก SEVASTOPOL HOTEL & SPA 3*, SEVASTOPOL หรือเทียบเท่า 
  • Day 3
    3) วันที่สาม เซวาสโตโพล - เคอร์โซนีซุส - บัลลักลาวา - พิธภัณฑ์ใต้ดินทหารเรือบัลลักลาวา - ยัลต้า (B/L/D)
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม 
      นำท่านเดินชม เมืองเซวาสโตโพล บริเวณย่านประวัติศาสตร์  ของเมือง ชมอนุสาวรีย์ต่างๆตามจัตุรัสกลางเมืองที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และชมอาคารสถาปัตยกรรมต่างๆ เมืองแห่งนี้เป็นเมืองท่าเรือทะเลน้ำอุ่นที่สำคัญเพียงไม่กี่แห่งที่รัสเซียครอบครอง จากนั้นนำท่าน ล่องเรือในทะเลดำ ชมอ่าวเซวาสโตโพล เย็นสบายไปสายลมแห่งท้องทะเลและดื่มด่ำวิวทิวทัศน์และตึกอาคารสถาปัตยกรรมที่ตั้งอยู่บริเวณริมฝั่งทะเล รวมถึงอู่จอดเรือพาณิชย์และเรือรบบนผิวน้ำและเรือดำน้ำในระยะใกล้ชิด
      เดินทางต่อไปชม เมืองโบราณเคอร์โซนีซุส (Chersonesus) ซากเมืองยุคกรีกโบราณที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ในปี ค.ศ. 2013 ซากของอาคารต่างๆตั้งอยู่เรียงรายอย่างมีระบบแบบแผนริมทะเลดำ บางจุดยังมีซุ้มประตูและเสากรีกตั้งตระหง่าน เมืองโบราณแห่งนี้ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1872 สันนิษฐานว่าเมืองนี้ถูกสร้างขึ้นโดยชาวกรีก-โรมันโบราณ ซึ่งมีอายุกว่า 2,600 ปี เมืองนี้ถูกขนานนามว่า นครปอมเปอีแห่งไครเมีย นักโบราณคดีเชื่อว่าเป็นเมืองที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดบนแหลมไครเมีย
      นำท่านชม มหาวิหารเซนต์วลาดิเมียร์ (St.Vladimir Cathedral) มหาวิหารแห่งนี้เป็นโบสถ์คริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ ตั้งอยู่ในเขตเมืองเซวาสโตโพล สร้างขึ้นในสมัยสงครามไครเมียเพื่อเป็นที่ระลึกถึงเหล่าวีรบุรุษนักรบในสงครามช่วงโอบล้อมเมืองเซวาสโตโพลในช่วงปี ค.ศ.1854-1855
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      ** เซวาสโตโพล - บัลลักลาวา ระยะทางราว 20 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 40 นาที **
      บ่าย ออกเดินทางสู่ เมืองบัลลักลาวา (Balaklava) เมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ สภาพภูมิประเทศเป็นหุบเขาซึ่งมีแม่น้ำไหลผ่าน บัลลักลาวาเป็นเมืองสำคัญทางประวัติศาสตร์บนแหลมไครเมีย เมืองนี้เคยมีชื่อเสียงเลื่องลือในช่วงสงครามไครเมีย (Crimean War) ในช่วงปีค.ศ. 1853-1856 เพราะเป็นเมืองที่สำคัญในการรักษาความลับทางยุทธศาสตร์การทหารของสหภาพโซเวียต เนื่องจากเคยเป็นอดีตฐานลับเรือดำน้ำที่สำคัญแห่งหนึ่งของสหภาพโซเวียต 
      นำท่านย้อนเวลากลับไปสมัยสงครามเย็นในปีค.ศ.1947-1991 เพื่อชม พิพิธภัณฑ์ใต้ดินทหารเรือบัลลักลาวา (Balaklava Naval Underground Museum) เป็นฐานทัพเรือดำน้ำใต้ดินแบบลับสุดยอดในช่วงสงครามเย็น ปัจจุบันเป็นหนึ่งในฐานทัพเรือทางทหารที่สำคัญที่สุดของในดินแดนของอดีตสภาพโซเวียต ภายในประกอบไปด้วยอุโมงค์ที่มีลักษณะเป็นช่องทางน้ำรวมใต้ดิน คลังสินค้าจัดเก็บอาวุธยุทโธปกรณ์ ร้านซ่อมอุปกรณ์ ที่เก็บอาวุธต่างๆ 
      ได้เวลาพอสมควร ออกเดินทางสู่ เมืองยัลต้า ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของคาบสมุทรไครเมีย
      ** บัลลักลาวา - ยัลต้า ระยะทางราว 80 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมง 30 นาที **
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ 
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก OREANDA HOTEL 5*, YALTA  หรือเทียบเท่า 
  • Day 4
    4) วันที่สี่ ยัลต้า - วังโวรอนซอฟ - สวอนโลว์เนสท์ - วังลิวาเดีย - โรงผลิตไวน์มาสซานดร้า (B/L/D)
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      ออกเดินทางไปชม พระราชวังโวรอนซอฟ (Voronsov Palace) เป็นพระราชวังที่เก่าแก่ที่สุดและใหญ่ที่สุดของตระกูลโวรอนซอฟ 
      ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาแหลมไครเมียและทะเลดำ สร้างโดยเจ้าชาย
      มิคาอิล โวรอนซอฟ (Prince Mikhail Vorontsov) ผู้สำเร็จราชการเมืองโนโวรอนซิย่า ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังของอังกฤษ เอ็ดเวิร์ด บลอร์ (Edward Blore) เป็นผู้ออกแบบพระราชวังบักกิ้งแฮม 
      (Buckingham Palace) ของอังกฤษและปราสาทวอลเตอร์สก็อตต์ (Walter Scott) ของสกอตแลนด์ พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นในช่วงค.ศ. 1828-1848 สร้างโดยใช้หินอัคนีแทรกซอน (ไดอะเบส) ที่มีความแข็งแกร่ง เจ้าชายได้รับแรงบันดาลใจจากการได้ติดตามพระราชบิดาที่เป็นนักการทูตไปอังกฤษ วังแห่งนี้จึงผสมผสานวัฒนธรรมที่หลากหลาย อาทิ รูปแบบตาตาร์มุสลิมไครเมียนท้องถิ่น รูปแบบพระราชวังข่าน และรูปแบบมัสยิดชามาในอินเดีย พระราชวังโวรอนซอฟถูกใช้เป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ในหมู่ราชวงศ์ชั้นสูงอยู่หลายครั้งหลายครา และเป็นที่รับรองแขกบ้านแขกเมืองบุคคลสำคัญต่างๆเช่นกัน
      นำคณะเดินทางต่อไป เพื่อนำชมวิว ปราสาทนกนางแอ่น  (Swallow’s nest) ตั้งอยู่ที่เมืองกัซปรา (Gaspra) ภาษาตาตาร์ไครเมียน เป็นเมืองสปาขนาดเล็ก ตั้งอยู่ระหว่างเมืองยัลต้า (Yalta) และเมืองอลูปก้า (Alupka) บนคาบสมุทรไครเมีย สร้างขึ้นครั้งแรกในปีค.ศ. 1895 โดยมีความสูง 40 เมตรจากระดับหน้าผา โดยสร้างจากไม้ทั้งหลังบนหน้าผาออโรร่า (Aurora Cliff) มีชื่อเรียกว่า ปราสาทแห่งรัก (Castle of Love) ในเวลาต่อมาปราสาทได้ตกเป็นของ A.K.Tobin นายแพทย์ประจำพระองค์ของพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย จากนั้นในปี ค.ศ. 1911 บารอน ฟอน สไตน์เกล (Baron Von Steingel) ขุนนางนักธุรกิจเชื้อสายบอลติก-เยอรมัน ผู้ร่ำรวยจากอุตสาหกรรมน้ำมันดิบในเมืองบากู ประเทศอาเซอร์ไบจัน ได้เข้ามาซื้อไว้ และได้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมระหว่างปีค.ศ.1911-1912 โดยให้ลีโอนิด เชอร์วู้ด (Leonid Sherwood) สถาปนิกชาวรัสเซียออกแบบใหม่แบบสไตล์ปราสาทโกธิค และได้เปลี่ยนชื่อเป็น สวอนโลว์เนสท์ หรือปราสาทนกนางแอ่นนั่นเอง ปัจจุบันเปิดให้บริการเป็นร้านอาหารและจุดชมวิว ตัวปราสาทสามารถมองเห็นแหลมอัย โตเดอร์ (Ai-Todor) และทะเลดำได้อีกด้วย สวอนโลว์เนสท์ เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในแหลมไครเมีย กลายเป็นสัญลักษณ์ของชายฝั่งทางใต้ของแหลมไครเมีย 
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน 
      บ่าย นำท่านเข้าชม พระราชวังลิวาเดีย  (Livadia Palace) พระราชวังลิวาเดียสร้างจากหินอ่อนและหินแกรนิตสีขาวทั้งหลัง ออกแบบโดยนิโคไล คราสนอฟ สถาปนิกชื่อดังชาวรัสเซีย ในสถาปัตยกรรมรูปแบบสไตล์นีโอ-เรอแนซองส์ 
      ตัวอาคารออกแบบผสมผสานอย่างหลากหลายสไตล์ อาทิเช่น มีลานหินอ่อนแบบสไตล์อาหรับ มีหอคอยแบบเมืองฟลอเรนซ์ มีหน้าต่างหรูหราและห้อง 116 ห้อง ห้องโถงสไตล์ปอมเปอีแห่งอิตาลี ห้องเล่นบิลเลียดสไตล์อังกฤษ ห้องเสวยสไตล์บารอค ที่นี่เป็นสถานที่พักตากอากาศในฤดูร้อนของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 เป็นซาร์องค์สุดท้ายราชวงศ์โรมานอฟแห่งรัสเซีย ปัจจุบันที่นี่กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ไปแล้ว อดีตที่นี่เคยถูกใช้เป็นที่ประชุมสุดยอดของผู้นำกลุ่มพันธมิตรที่กำหนดชะตากรรม

      ของโลกหลังสงครามโลกครั้งที่สอง อาทิ ประธานาธิบดี ธีโอดอร์ รูสเวลต์ แห่งสหรัฐอเมริกา เซอร์วินสตัน เลนเนิร์ด สเปนเซอร์-เชอร์ชิล รัฐบุรุษชาวอังกฤษ ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร 2 สมัย และประธานาธิบดี โจเซฟ สตาลิน แห่งสหภาพโซเวียต เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1945 
      หากมีเวลา นำท่านขึ้นกระเช้าไฟฟ้าสู่ ยอดเขาอัยเปตริ (Ai Petri) เพื่อชมวิวเมืองแบบพาโนราม่า ถือเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดอีกแห่งในแหลมไครเมีย อัยเปตริ คือภาษากรีกโบราณ แปลว่า เซ็นต์ปีเตอร์ นอกจากจุดชมวิวบนความสูง 1,234 เมตรจากระดับน้ำทะเลแล้ว บนยอดเขายังมีกิจกรรมท้าวัดใจไต่สะพานเชือกชมวิวเมืองอีกด้วย
      (การขึ้นกระเช้าไฟฟ้า ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศเป็นสำคัญ)
      ต่อจากนั้น นำท่านเข้าชม โรงผลิตไวน์มาสซานดร้า (Massandra Winery) โรงไวน์เก่าแก่ของรัสเซีย เนื่องจากสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศเหมาะสมของแหลมไครเมีย ทำให้สามารถปลูกองุ่นและนำไปทำไวน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีคำกล่าวกันว่า พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ชอบดื่มไวน์ และที่นี่เป็นที่เก็บไวน์ใต้ดินของเหล่าราชวงศ์ที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพสูง ดังนี้โรงผลิตไวน์มาสซานดร้าได้รับการบันทึกลงในกินเนสบุ๊กส์เวิร์ดเร็คคอร์ดว่าเป็นสถานที่เก็บไวน์มากที่สุดในโลกกว่าล้านขวด จิบชิมไวน์ฟังบรรยายความรู้เรื่องไวน์ได้ที่นี่ ทั้งยังสามารถเลือกซื้อไวน์กลับบ้านได้อีกด้วย 
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก OREANDA HOTEL 5*, YALTA  หรือเทียบเท่า 
  • Day 5
    5) วันที่ห้า ยัลต้า - พระราชวังมาสแซนดร้า - ถ้ำหินอ่อน - จัตุรัสเลนิน - พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ชาวไซเธียน -โบสถ์อเล็กซานเดอร์เนฟสกี้ - ผาหินขาว (B/L/D)
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม 
      นำท่านชม พระราชวังมาสแซนดร้า (Massandra Palace) พระราชวังแห่งนี้มีความสวยสง่างามและแปลกตาที่สุดบนชายฝั่งทะเลตอนใต้ของแหลมไครเมีย ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าไม้และภูเขาล้อมรอบ และออกแบบสถาปัตยกรรมอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เริ่มต้นก่อสร้างในปี ค.ศ.1881 โดยเจ้าชายเซมิออน โวรอนซอฟ  (Semyon Vorontsov) ทรงโปรดให้เอ็ดเทียน โบชาร์ด (Etienne Bouchard) สถาปนิกผู้มีความสามารถออกแบบอาคารตามแบบปราสาทฝรั่งเศสในยุคเฟื่องฟูของพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 (Louis XIII) โดยพระราชวังนี้ถูกเรียกอีกชื่อว่าเป็น ลิตเติ้ล แวร์ซายส์ (Little Versailles) อย่างไรก็ตามการก่อสร้างก็ได้หยุดลง
      เพียง 1 ปีเท่านั้นเนื่องจากเจ้าชายเซมิออน โวรอนซอฟได้สิ้นพระชนม์ ต่อมาในปี ค.ศ.1889 พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่สามแห่งจักรวรรดิ์รัสเซียได้เข้ามาซื้อที่ดินและตัวอาคารพร้อมได้เริ่มการก่อสร้างอีกครั้ง โดยสั่งการให้สถาปนิกชื่อ แม็กซิมิเลี่ยน แมสมาเฮอร์ (Maximilian Mesmaher) ออกแบบโดยคงโครงสร้างของแบบเดิมไว้ แต่แม็กซิมิเลี่ยนได้ปรับผังและรูปลักษณ์ของตัวอาคารใหม่คล้ายป้อมอัศวิน โดยภายในแบ่งออกเป็น 2 ส่วนเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานสำหรับผู้ชายและผู้หญิง ห้องพักแต่ละห้องมีขนาดเล็ก เพดานต่ำ มีเตาผิงหินอ่อนตบแต่งอยู่ภายใน ทั้งมีการจัดสวนสไตล์อังกฤษ ปลูกพืชพรรณไม้นานาชนิด พระราชวังถูกใช้เป็นที่ประทับของเหล่าราชวังเมื่อแปรพระราชฐานมาพักร้อนที่ไครเมีย แต่น่าเสียดายที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 3 ไม่ได้อยู่เห็นความงดงามนี้เนื่องจากสิ้นพระชนม์ไปก่อนที่จะสร้างเสร็จเพียงไม่กี่ปี  ในยุคโซเวียต พระราชวังแห่งนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นโรงพยาบาลที่เรียกว่า ศูนย์อนามัยชนชั้นกรรมกร 'Proletarian Health' โดยใช้กักบริเวณผู้ป่วยหนักด้วยวัณโรค และหลังสงครามโลกครั้งที่สอง พระราชวังนี้ก็กลายเป็นบ้านพักตากอากาศอย่างเป็นทางการ  ถูกใช้เป็นสถานที่ชุมนุมของโจเซฟ สตาลิน เป็นผู้นำของสหภาพโซเวียต ตั้งแต่ปี ค.ศ.1920-1953 พระราชวังมาสแซนดร้า ถูกยกให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่อุทิศให้กับพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่สาม โดยสร้างขึ้นใน 2 ชั้นแรกของอาคารพระราชวัง ตบแต่งด้วยหินอ่อน อาทิ เตาผิงหินอ่อนสีน้ำตาล เฟอร์นิเจอร์ไม้มะฮอกกานี และกระจก เป็นต้น
      ออกเดินทางต่อ นำท่านไปชม ถ้ำหินอ่อน (Marble Caves) 
      บนทางหลวงซิมโฟอโรโพล-อลัชต้า ตั้งอยู่บริเวณภูเขาชาไตรดา (Chatyr Dag) โดยภาษาตาตาร์ไครเมียน คำว่า Chatyr แปลว่า เต้นท์หรือกระโจมที่พัก ส่วนคำว่า Dag แปลว่า ภูเขา ภายในถ้ำหินอ่อน ท่านจะได้พบความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ อาทิเช่น หินงอก หินย้อย เรียงสลับสูงต่ำตามธรรมชาติและมีบางพื้นที่คล้ายราวกับห้องโถงพระราชวัง (Palace Hall) เนื่องจากความโอ่อ่ากว้างขวางของถ้ำดูเสมือนพระราชวังก็ไม่ปาน หินงอกหินย้อยภายในถ้ำนี้ได้รับการโหวตให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของยูเครน ในปีค.ศ.1992 รื่นรมย์กับความสุนทรียะทางธรรมชาติอย่างเบิกบานตามอัธยาศัย 
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน 
      ** ยัลต้า - ซิมเฟอโรโพล ระยะทางราว 75 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมง 30 นาที **
      บ่าย เดินทางสู่ ซิมเฟอโรโพล เมืองหลวงและเป็นเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจที่มีความสำคัญของสาธารณรัฐไครเมีย 
      นำท่านชม จัตุรัสเลนิน (Lenin Square) จัตุรัสกลางเมืองซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดงานแสดงต่างๆ อาทิ การแสดงคอนเสิร์ต งานศิลปะต่างๆ แล้วต่อด้วยนำท่านเข้าชม พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ชาวไซเธียน (Neapolis Scytien) ได้พบหลักฐานทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและประเพณีท้องถิ่นของชาวตาตาร์ไซเธียน ที่นี่ถูกค้นพบเมื่อราว 700 ปีก่อนคริสตกาล โดยเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของชนเผ่าเร่ร่อนโบราณที่อาจจะมีบรรพบุรุษเป็นชาวมองโกล เนื่องจากสภาพ 
      แวดล้อม เศษซากปรักหักพังของสถาปัตยกรรมเก่า และสัตว์เลี้ยงโบราณ เช่น อูฐบัคเทรียน หรือ อูฐสองหนอก ที่มีแหล่งกำเนิดในแถบทะเลทรายโกบี ประเทศมองโกเลีย ก็ถูกพบเห็นที่นี่ ป้อมปราการขนาดใหญ่ที่ถูกค้นพบ ถือว่าเป็นป้อมปราการใหญ่ที่สุดบนภูมิภาคทะเลดำตอนเหนือที่มีกลิ่นอายของอารยธรรมอียิปต์โบราณผนวกเข้าด้วยกัน 
      พาท่านชม โบสถ์อเล็กซานเดอร์เนฟสกี้ (Alexander Nevsky 
      Cathedral) โบสถ์หลักของเมืองที่องค์จักรพรรดินีแคทเธอรีนแห่งรัสเซีย มีความประสงค์จะสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นักบุญอเล็กซานเดอร์เนฟสกี้ ขณะมาเยือนเมืองซิมเฟอโรโพลในปี ค.ศ.1787 อย่างไรก็ตามการก่อสร้างโบสถ์ได้ถูกเลื่อนออกไปเป็นเวลานาน จนกระทั่งจักรพรรดินีแคทเธอรีนแห่งรัสเซียได้สิ้นพระชนม์ลง โบสถ์อเล็กซานเดอร์เนฟสกี้ จึงถูกสานต่อเจตนารมณ์โดยพระเจ้า
      อเล็กซานเดอร์มหาราช และสร้างแล้วเสร็จในปีค.ศ.1804 
      ออกเดินทางสู่เมือง เบโลกอร์ส (Belogorsk หรือ Bilohirs'k) ระหว่างทางแวะชม ผาหินขาว (White Rock) มีระยะห่างจากตัวเมืองซิมเฟอโรโพลเพียง 50 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง บนเส้นทางออฟโร้ด ผาหินขาว ภาษาตาตาร์ไครเมียนมีชื่อเรียกว่า อัค กายา (Aq Qaya) แปลว่า หินสีขาว เป็นผาหินปูนสีขาวขนาดใหญ่ ท่านจะได้เห็นแนวกำแพงหินสีขาวตั้งตระหง่านเหนือหุบเขาของ แม่น้ำบิยุกคาราสุ (Biyuk-Karasu River) ที่ไหลขนาบแนบสันเขา โดยมีความสูงจากระดับน้ำทะเล 325 เมตร ดื่มด่ำกับวิวทิวทัศน์ธรรมชาติ 360 องศา 
      ** ผาหินขาว - ซูดัค ระยะทางราว 70 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมง 15 นาที **
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก SOLDAYA GRAND HOTEL & RESORT 4*, SUDAK หรือเทียบเท่า
  • Day 6
    6) วันที่หก ซูดัค - ป้อมปราการเจนัว - ทะเลสาบเกลือโกเยสโกยา - เคิร์ช (B/L/D)

    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม 
      ออกเดินทางสู่ ซูดัค (Sudak) เมืองโบราณบนแหลมไครเมีย ตั้งอยู่บนชายฝั่งทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของแหลมไครเมีย ซูดัคในอดีตเป็นเมืองที่มีการผสมผสานวัฒนธรรมและศาสนา โดยมีผู้คนนับถือศาสนาคริสต์นิกายอีสเทิร์นออร์โธด็อกซ์ตะวันออกและนิกายละตินคาทอลิค เมืองซูดัคมีความสำคัญในฐานะเมืองพักตากอากาศที่สำคัญและมีการปกครองพิเศษในระดับภูมิภาค เมื่อครั้งไครเมียยังมีกรณีพิพาทระหว่างยูเครนและรัสเซีย ซูดัค เป็นเมืองพักตากอากาศที่มีรีสอร์ทยอดนิยมหลายแห่ง สถานที่สำคัญที่ไม่ควรพลาดชม คือ ป้อมปราการโบราณ ซึ่งได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดบนชายฝั่งทางตอนเหนือของทะเลดำ 
      นำท่านชม ป้อมปราการซูดัค (Sudak Fortress) หรือป้อมปราการเจนัว (Genoese Fortress) หนึ่งในป้อมปราการที่มีความแข็งแกร่งและคงสภาพสมบูรณ์ที่สุดมาตั้งแต่เริ่มก่อสร้างมา ถือเป็นป้อมปราการแห่งแรกที่ถูกสร้าง
      ขึ้นโดยกลุ่มจักรวรรดิไบแซนไทน์ คือจักรวรรดิของชาวกรีกในคริสต์ศตวรรษที่ 6-7 แต่ได้รับการอนุรักษ์ดีที่สุดในยุคเจนัว (Genoese) นั่นคือ กลุ่มชนชาวเจนัว (Genoese people) ที่เข้ามาอาศัยหลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปี ชาวเจนัวเดิมทีอาศัยอยู่ในเมืองลิกูเรีย (Liguria) ที่มีภูมิประเทศเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอิตาลีบนชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมืองนี้มีชื่อเรียกว่าอีกอย่างว่า “อิตาเลียนริเวียร่า” ซูดัคเป็นเมืองติดทะเลเช่นกัน วิถีการใช้ชีวิตของกลุ่มชนชาวเจนัวจึงมีความคล้ายคลึงกัน ทำให้ชาวเจนัวที่เข้ามาอาศัยอยู่ที่ซูดัคใช้ชีวิตเรียบง่ายและนำเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามามีบทบาทในการก่อสร้างปรับปรุงป้อมปราการเจนัวให้ดียิ่งขึ้นไป ป้อมปราการถูกสร้างขึ้นอีกครั้งในปี ค.ศ.1371-1469 ใช้เวลาก่อสร้าง 98 ปีตามแบบการสร้างป้อมปราการยุโรปตะวันตกที่ดีที่สุด การก่อ สร้างถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ ภายนอกและภายใน  ภายนอกสร้างโอบล้อมรอบไปทางลาดด้านเหนือของภูเขา
      โดยด้านนอกสร้างเป็นอาคารหอคอย 14 หลังที่เชื่อมต่อกับกำแพงทึบและประตูหลัก แต่ละหอคอยจะถูกจารึกชื่อของผู้ที่สนับสนุนเงินงบประมาณการก่อสร้าง ส่วนแนวป้องกันด้านในป้อมปราการประกอบด้วยหอคอย 4 หลัง โดยจะแบ่งออกเป็นที่พักของเหล่าข้าราชการ ผู้ตรวจการแผ่นดิน และแยกกลุ่มกับแขกหรือแยกเป็นที่พักเฉพาะผู้หญิง โดยมีกำแพงเพียง 3 ด้าน ด้วยการออกแบบที่มีความซับซ้อนทั้งหมดเหล่านี้ จึงเป็นเสน่ห์ของป้อมปราการเจนัวแห่งซูดัคที่เป็นความภาคภูมิใจของชาวเจนัวและต่อมาภายหลังได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองซูดัค ชื่นชม
      วิวเมืองซูดัคจากป้อมปราการเจนัวซึ่งท่านสามารถมองเห็นอ่าวซูดัค (Sudak Bay) ที่โอบรอบตอนเหนือของทะเลดำ 
      ** ซูดัค - ทะเลสาบเกลือโกเยสโกยา ระยะทางราว 165 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 3 ชั่วโมง **
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน 
      บ่าย เดินทางถึง ทะเลสาบเกลือโกเยสโกยา (Koyashskoe Salt Lake) แวะถ่ายภาพสวยๆ กับทะเลสาบเกลือสีชมพู
      ทะเลสาบเกลือตั้งอยู่บนคาบสมุทรเคิร์ช โดยมีเส้นแบ่งแยกทะเลดำด้วยแถบแนวดินเป็นเนินแนวยาว มีพื้นที่อาณาเขตทะเลสาบเกลือ คือ ยาว 3.89 กิโลเมตร กว้าง 2.39 กิโลเมตร และลึก 1 เมตร เป็นแอ่งทะเลสาบเกลือที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและ วิตามิน ช่วงฤดูร้อนในเดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคม จะเห็นทะเลสาบเป็นสีชมพูไปจนถึงสีแดงเมื่อแสงแดดสะท้อน ทะเลสาบจะเปลี่ยนเป็นเกาะเล็กๆ เมื่อเริ่มสู่ฤดูฝน ชาวบ้านที่นี่นิยมเก็บเกลือมาใส่ถุงขายกับหน้าชายหาดต้อนรับนักท่องเที่ยว ทะเลสาบเกลือโกเยสโกยา ถือเป็นแหล่งผลิตเกลือที่ใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐไครเมีย เกลือสีชมพูถือเป็นของที่หายากของทะเลสาบเกลือโกเยสโกยา เนื่องจากอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ภายใต้หน้าเกลือสีชมพูจะมีโคลนตะกอนสีดำซึ่งจะถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมความงาม การบำบัดหรือทำสปา มีการนำเกลือทะเลสีชมพูมาใช้ครั้งแรกโดยชาวกรีกโบราณ และเริ่มทำเหมืองเกลือทะเลเป็นอุตสาหกรรมในคริสต์ศตวรรษที่ 19 และด้วยคุณประโยชน์อันเลื่องชื่อ เกลือทะเลสีชมพูธรรมชาติ จึงได้ถูกนำเสิร์ฟบนโต๊ะอาหารของราชวงศ์รัสเซียอีกด้วย
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก LA GRACE  HOTEL 4*, KERCH หรือเทียบเท่า
  • Day 7
    7) วันที่เจ็ด เคิร์ช - เม้าท์มิทริแดต - เพนติคาเปอุม - เหมืองหินแอดซิมุสกี้ - สะพานไครเมีย - ครัสโนดา (B/L/D)
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      ออกเดินทางสู่ เมืองเคิร์ช (Kerch) ซึ่งเป็นเมืองสำคัญบนแหลมเคิร์ช ทางทิศทางตะวันออกของคาบสมุทรไครเมีย โดยมีพื้นที่ติดสองทะเล คือ ทะเลอะซอฟ (Asov Sea) และทะเลดำ (Black Sea) เมืองเคิร์ชก่อร่างสร้างเมืองเมื่อราว 2,600 ปีก่อนคริสตกาล ในฐานะเมืองอาณานิคมของกรีกโบราณ โดยได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในคาบสมุทรไครเมีย เมืองเคิร์ชได้มีการพัฒนาเติบโตอย่างรวดเร็วเริ่มต้นในปีค.ศ.1920 และเป็นที่ตั้งของการต่อสู้ที่สำคัญในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดและเป็นหนึ่งในศูนย์กลางอุตสาหกรรมการขนส่งและการท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดของสาธารณรัฐไครเมีย 
      นำท่านชม เม้าท์มิทริแดต (Mount Mithridat) เนินเขาขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางเมืองเคิร์ช ณ ระดับความสูง 92 เมตร ท่านสามารถชมวิวทิวทัศน์ของเมืองเคิร์ชและวิวของช่องแคบเคิร์ชจากบริเวณยอดเขาแห่งนี้มีทัศนียภาพสวยงาม และหากสภาพอากาศดี ท้องฟ้าเปิด ท่านสามารถมองเห็นได้ไกลจนถึงชายฝั่งทะเลดำทางแถบเทือกเขาคอเคซัสได้อีกด้วย
      นำท่านชม เพนติคาเปอุม (Panticapaeum) คือเมืองกรีกโบราณ ถือเป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญอีกแห่งของไครเมีย ข้อเท็จจริงของซากปรักหักพัง เป็นการแสดงหลักฐานการตั้งถิ่นฐานของชาวกรีกโบราณว่าดำรงชีพอยู่บนแหลมไครเมียมาตั้งแต่ 600 ปีก่อนคริสตกาล  ซึ่งท่านจะได้เห็นเศษซากโครง สร้างตัวอาคารบ้านพัก เสาหินกรีกบางจุดในสภาพที่สมบูรณ์ 
      นำท่านชม พิพิธภัณฑ์เหมืองหินแอดซิมุสกี้ (The History of the Defense of the Adzhimushkay Quarry Museum) เขตแนวป้องกันเหมืองหินแอดซิมุสกี้ ได้เป็นส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม ค.ศ. 1942  แนวป้องกันดินแดนนี้ได้ถูกเรียกตามชื่อเหมืองหินปูนแอดซิมุสกี้ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชานเมืองเคิร์ช ที่นี่มีการทำเหมืองหินมาตั้งแต่ปีค.ศ.1830 ระหว่างการถูกยึดครองของทหารนาซีเยอรมนีบนแหลมไครเมีย เมื่อถึงเวลาสงคราม เหมืองหินแอดซิมุสกี้ซึ่งเป็นเหมืองเล็กๆ ซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปราว 5 กิโลเมตรจากเมืองเคิร์ช ได้ถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหารเป็นครั้งแรกโดยกลุ่มติดอาวุธโปร-บอลเชวิคในช่วงสงครามกลางเมืองรัสเซีย เหมืองใต้ดินแอดซิมุสกี้จัดเป็นเขตแนวคุ้มกันอำพรางที่ดี เพราะมีการขุดอุโมงค์แบบเขาวงกตเชื่อมต่ออย่างเป็นระบบนั่นเอง

      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย นำท่านออกเดินทางไปชม สะพานไครเมีย (Crimean Bridge) หรือที่เรียกว่าอีกอย่างว่า สะพานข้ามช่องแคบเคิร์ช (Kerch Strait Bridge) สร้างขนานผ่านช่องแคบเคิร์ชบนแหลมเคิร์ช และคาบสมุทรตามัน เขตครัสโนดา สะพานแห่งนี้ถูกใช้สัญจรทั้งการจราจรบนถนนและทางรถไฟ โดยสะพานมีความยาว 19 กิโลเมตร เป็นสะพานที่ยาวที่สุดที่รัสเซียเคยสร้างและถือว่าเป็นสะพานที่ยาวที่สุดในยุโรป
      ** สะพานเคิร์ช - ครัสโนดา ระยะทางราว 275 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 4-5 ชั่วโมง **
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก HILTON GARDEN INN HOTEL 4*, KRASNODAR หรือเทียบเท่า
  • Day 8
    8) วันที่แปด ครัสโนดา - แกยิสกี้พาร์ค - มอสโคว์ - กรุงเทพฯ (B/-/-)
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      นำท่านชม แกยิสกี้ พาร์ค (Galitsky Park) สวนสาธารณะที่ออกแบบได้ทันสมัย เน้นความสวยงาม สะอาด สบายตาของผู้มาเยือน แกยิสกี้พาร์ค ตั้งอยู่ห่างจากเมืองครัสโนดา ประมาณ 3 กิโลเมตร จัดเป็น Walking trails ที่มีชื่อเสียงของเมืองแห่งนี้ อิสระให้ท่านได้ชื่นชมสวนตามอัธยาศัย
      11.00 น. เดินทางไปยัง สนามบินครัสโนดา (Krasnodar Airport) 
      14.10 น. เหินฟ้าสู่ กรุงมอสโคว์ ประเทศรัสเซีย โดยเที่ยวบิน SU1103 (1410-1640) (ใช้เวลาบิน 2 ชั่วโมง 30 นาที)
      16.40 น. เดินทางถึงสนามบินนานาชาติเชเรเมเตียโว Terminal B - Domestic  Terminal  แล้วเดินเท้าไปยัง Terminal D - International  ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว รอเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทาง กรุงเทพฯ 
      19.15 น. เหินฟ้าสู่ กรุงเทพมหานคร  ประเทศไทย โดยเที่ยวบิน SU270 (1915-0820) (ใช้เวลาบิน 9 ชั่วโมง 5 นาที)
  • Day 9
    9) วันที่เก้า กรุงเทพฯ
    • 08.20 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพ 

Top